คำนำ ตัวอย่างคำนำ การเขียนคำนำ คํานํารายงาน
คำนำ ตัวอย่างคำนำ การเขียนคำนำ คํานํารายงาน เป็นหน้าสำคัญที่แจ้งให้ผู้อ่านทราบวัตถุประสงค์ ความเป็นมาของหนังสือ แนวเนื้อหาสาระที่จะมีในเล่มเหตุผลในการแต่งแรงจูงใจ ระดับของผู้อ่าน การจัดลำดับของเรื่องราว ตัวอักษรย่อหรือลักษณะพิเศษของหนังสือและคำกล่าวขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้แต่ง ในการอ่านหนังสือควรเริ่มจากการอ่านคำนำก่อน ในหนังสือภาอังกฤษเรียกหน้านี้ว่า Prefaceหนังสือบางเล่มอาจมี คำนิยม ที่เขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ แนะนำผู้เขียนและยกย่องหนังสือ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถพิจารณาหนังสือนั้นเป็นเบื้องต้นอย่างถูกต้อง ในภาษาไทยมีการเรียก หน้าคำนำหลายคำ เช่น คำปรารภคำชี้แจง หรือคำแถลง เป็นต้น ในหนังสือภาษาอังกฤษ เรียกหน้าเหล่านี้ว่า Foreword หน้าคำนำเป็นหน้าที่ผู้อ่านไม่ควรเปิดผ่านเลยไป ควรอ่านอย่างละเอียดจะได้ประโยชน์ ช่วยในการพิจารณาเนื้อหาได้ตรงกับความต้องการ เป็นส่วนหนึ่งของการเขียนรายงาน วิทยานิพนธ์ บทความ และอีกหลายๆอย่าง โดยคำนำนั้น ก็มีหลักการในการเขียน เพื่อให้ถูกต้องตามหลักนิยม และเพื่อจะสามารถดึงดูดความสนใจแก่ผู้ที่จะอ่าน
หลักการ การเขียนคำนำ
หลักสำคัญของการเขียนคำนำ คำนำที่ดีจะทำให้คนอ่านติดตามเรื่องของเราโดยตลอด ถ้าคำนำไม่ดีเขาจะหยุดอ่านแต่ตอนต้น การเขียนคำนำให้ดีนั้นต้องมีอุบายหรือวิธีการชักชวน ให้ผู้อ่านอ่านเรียงความของเราให้จบ ต้องสร้างความสนใจแก่ผู้อ่านให้มากที่สุด
ตัวอย่างการเขียนอ้างอิงท้ายประโยค
การเขียนอ้างอิงแบบเชื่อมต่อ โดยใช้รูปแบบ ......................สอดคล้อง กับ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ.) หรือ ขัดแย้งกับ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ.) การเขียนอ้างอิงแบบเชื่อมต่อนี้ เป็นการผสมการเขียนอ้างอิงต้นประโยค และการเขียนอ้างอิงท้ายประโยค โดยรูปแบบการเชื่อมประโยค จะคล้ายกับรูปแบบการเขียนอ้างอิง ทั้ง ชื่อ และ พ.ศ. หรือ ค.ศ. ที่ตีพิมพ์
ตัวอย่าง
สุกัญญา (2539) พบว่า…………………….สอดคล้องกับรายงานของ Fox and vevers (1960) ที่เสนอว่า…………………………………………… แต่ขัดแข้งกับ Banday et al. (1992) โดยอธิบายว่า…………………………………………………………………………………………………………………………….
จากการศึกษาปัญหาดังกล่าว………………………………………………(Coon, 1971 ; Fox and Vevers, 1960 ; Bandan et al., 1992)
สิ่งสำคัญที่ควรเลี่ยงไม่ควรนำมามาเขียนในคำนำคือ
ตัวอย่างคำนำ
ตัวอย่างคำนำ 2
หลักการ การเขียนคำนำ
หลักสำคัญของการเขียนคำนำ คำนำที่ดีจะทำให้คนอ่านติดตามเรื่องของเราโดยตลอด ถ้าคำนำไม่ดีเขาจะหยุดอ่านแต่ตอนต้น การเขียนคำนำให้ดีนั้นต้องมีอุบายหรือวิธีการชักชวน ให้ผู้อ่านอ่านเรียงความของเราให้จบ ต้องสร้างความสนใจแก่ผู้อ่านให้มากที่สุด
- เขียนคำนำโดยการอธิบายความหมายของเรื่อง
- เขียนคำนำด้วยคำพังเพยหรือสุภาษิตที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง
- เขียนคำนำด้วยคำถามหรือปัญหาที่สนใจ
- เขียนคำนำโดยขึ้นต้นด้วยคำกล่าวของบุคคลสำคัญ
- เขียนคำนำด้วยการเล่าเรื่อง
- เขียนคำนำด้วยการกล่าวถึงใจความสำคัญของเรื่องที่เขียน
- เขียนคำนำด้วยการอธิบายชื่อเรื่อง
- เขียนคำนำด้วยคำกล่าวถึงจุดประสงค์ของเรื่องที่เขียน
- การอ้างอิงเนื้อเรื่อง
คำนำที่ดีต้องเป็นความคิดใหม่ ความคิดแปลก หรือความคิดสนุก ต้องมีลักษณะนำ หรือเชิญชวนให้ผู้อ่าน อ่านเรื่องของเราให้จบให้ได้ คำนำจึงเป็นส่วนสำคัญในการเรียกร้องความสนใจของผู้อ่านตั้งแต่เริ่มต้นอ่าน เรื่อง และดึงดูดใจให้อ่านเรื่องไปตลอด
และสิ่งสำคัญ การอ้างอิงเนื้อเรื่อง หากมีผู้สนใจและอยากศึกษาเพิ่มเติมในเนื้อหาจะได้กลับไปตามจากแหล่งข้อมูล เป็นการบอกถึงแหล่งข้อมูลที่นำมาจากเอกสารฉบับไหน หนังสือ หรือ วารสาร และเอกสารตีพิมพ์เล่มใด เพื่อจะสะดวกในการตามศึกษาในเรื่องนั้นๆ
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ข้อดังนี้
1. การเขียนอ้างอิงต้นประโยค
จะใช้รูปแบบ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ. พบว่า………………) เช่น
ชัยพิดิช (2539) พบว่า............................................................................
ธันวา (มปพ.) กล่าวว่า.........(ในกรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์).....................................
นิรนาม (2547) แนะนำว่า.........(นิรนาม แทนชื่อกรณีไม่ทราบผู้แต่ง)......................................
สำหรับ ชื่ออาจจะมีทั้ง 2 คน 3 คน หรือมากกว่า ถ้ามากกว่า 3 คน ให้ใช้คำว่า และคณะ (….) ในภาษาอังกฤษใช้ et al. (….) โดยจะเอียงหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องเหมือนกันหมด ส่วนชื่อภาษาอังกฤษจะใช้สกุลมาอ้างอิง เช่น O. P. Thomas. 1982. เวลาเขียนอ้างอิงต้นประโยคให้อ้างอิงว่า Thomas (1982) เป็นต้น และ พ.ศ. หรือ ค.ศ. ที่ใช้จะต้องเป็นปีที่ตีพิมพ์ ส่วนประโยคต่อปีที่ตีพิมพ์ อาจใช้คำว่า พบว่า……, รายงานว่า……, กล่าวว่า…….., แสดงให้เห็นว่า………หรืออื่นๆ การอ้างแบบนี้รวมถึงข้อมูลจากเว็ปไซด์ด้วย
ตัวอย่าง
สินชัย และนวลจันทร์ (2530) รายงานว่า.................................................................
สาโรช และคณะ (2521) อธิบายว่า........................................................................
อุทัย และคณะ (2533 ข) ; สาโรช และเยาวมาลย์ (2528) ศึกษาพบว่า...............................
Thunwa (eds.) กล่าวว่า………………..(ในกรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์).....................................
Anonymous (2004) แนะนำว่า……………(กรณีไม่ทราบผู้แต่งชาวต่างประเทศ)……………….
Fox and Vevers (1960) เสนอว่า......................................................................
Banday et al. (1992) เสนอแนะว่า......................................................................
Coon (1971) แสดงให้เห็นว่า...........................................................................
Coon (1971) ; Fox and Vevers (1960) ; Banday et al. (1992) ได้ศึกษาเปรียบ เทียบพบว่า..........................
หมายเหตุ : อุทัย และคณะ (2533 ข) คือ กรณี ชื่อ และ พ.ศ. ทั้งไทย และอังกฤษซ้ำจึงใช้อักษรกำกับรวมถึงการเขียนอ้างอิงนอกเนื้อหาด้วย
2. การเขียนอ้างอิงท้ายประโยค
โดยใช้รูปแบบ (ชื่อ, พ.ศ. หรือ ค.ศ.)
โดยจะมีลักษณะการเขียนชื่อและพ.ศ. คล้ายการเขียนอ้างอิงต้นประโยค
ตัวอย่าง
………………………………………………(ธันวา, มปพ.) กรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์
………………………………………………(นิรนาม, 2547) กรณีไม่ทราบผู้แต่ง
………………………………………………(สุกัญญา, 2539)
………………………………………………(สินชัย และนวลจันทร์, 2530)
………………………………………………(สาโรช และคณะ, 2521)
……………………………(อุทัย และคณะ, 2533 ข ; สาโรช และเยาวมาลย์, 2528)
……………………………(Thunwa, eds.) กรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์
……………………………(Anonymous, 2004) กรณีไม่ทราบผู้แต่งชาวต่างประเทศ
……………………………(Fox and Vevers, 1960)
……………………………(Banday et al., 1992)
……………………………(Coon, 1971)
……………………(Coon, 1971 ; Fox and Vevers, 1960 ; Banday et al., 1992)
และสิ่งสำคัญ การอ้างอิงเนื้อเรื่อง หากมีผู้สนใจและอยากศึกษาเพิ่มเติมในเนื้อหาจะได้กลับไปตามจากแหล่งข้อมูล เป็นการบอกถึงแหล่งข้อมูลที่นำมาจากเอกสารฉบับไหน หนังสือ หรือ วารสาร และเอกสารตีพิมพ์เล่มใด เพื่อจะสะดวกในการตามศึกษาในเรื่องนั้นๆ
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ข้อดังนี้
- การอ้างอิงในเนื้อเรื่อง
- การอ้างอิงนอกเนื้อเรื่อง (การเขียนเอกสารอ้างอิง)
1. การเขียนอ้างอิงต้นประโยค
จะใช้รูปแบบ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ. พบว่า………………) เช่น
ชัยพิดิช (2539) พบว่า............................................................................
ธันวา (มปพ.) กล่าวว่า.........(ในกรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์).....................................
นิรนาม (2547) แนะนำว่า.........(นิรนาม แทนชื่อกรณีไม่ทราบผู้แต่ง)......................................
สำหรับ ชื่ออาจจะมีทั้ง 2 คน 3 คน หรือมากกว่า ถ้ามากกว่า 3 คน ให้ใช้คำว่า และคณะ (….) ในภาษาอังกฤษใช้ et al. (….) โดยจะเอียงหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องเหมือนกันหมด ส่วนชื่อภาษาอังกฤษจะใช้สกุลมาอ้างอิง เช่น O. P. Thomas. 1982. เวลาเขียนอ้างอิงต้นประโยคให้อ้างอิงว่า Thomas (1982) เป็นต้น และ พ.ศ. หรือ ค.ศ. ที่ใช้จะต้องเป็นปีที่ตีพิมพ์ ส่วนประโยคต่อปีที่ตีพิมพ์ อาจใช้คำว่า พบว่า……, รายงานว่า……, กล่าวว่า…….., แสดงให้เห็นว่า………หรืออื่นๆ การอ้างแบบนี้รวมถึงข้อมูลจากเว็ปไซด์ด้วย
ตัวอย่าง
สินชัย และนวลจันทร์ (2530) รายงานว่า.................................................................
สาโรช และคณะ (2521) อธิบายว่า........................................................................
อุทัย และคณะ (2533 ข) ; สาโรช และเยาวมาลย์ (2528) ศึกษาพบว่า...............................
Thunwa (eds.) กล่าวว่า………………..(ในกรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์).....................................
Anonymous (2004) แนะนำว่า……………(กรณีไม่ทราบผู้แต่งชาวต่างประเทศ)……………….
Fox and Vevers (1960) เสนอว่า......................................................................
Banday et al. (1992) เสนอแนะว่า......................................................................
Coon (1971) แสดงให้เห็นว่า...........................................................................
Coon (1971) ; Fox and Vevers (1960) ; Banday et al. (1992) ได้ศึกษาเปรียบ เทียบพบว่า..........................
หมายเหตุ : อุทัย และคณะ (2533 ข) คือ กรณี ชื่อ และ พ.ศ. ทั้งไทย และอังกฤษซ้ำจึงใช้อักษรกำกับรวมถึงการเขียนอ้างอิงนอกเนื้อหาด้วย
2. การเขียนอ้างอิงท้ายประโยค
โดยใช้รูปแบบ (ชื่อ, พ.ศ. หรือ ค.ศ.)
โดยจะมีลักษณะการเขียนชื่อและพ.ศ. คล้ายการเขียนอ้างอิงต้นประโยค
ตัวอย่าง
………………………………………………(ธันวา, มปพ.) กรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์
………………………………………………(นิรนาม, 2547) กรณีไม่ทราบผู้แต่ง
………………………………………………(สุกัญญา, 2539)
………………………………………………(สินชัย และนวลจันทร์, 2530)
………………………………………………(สาโรช และคณะ, 2521)
……………………………(อุทัย และคณะ, 2533 ข ; สาโรช และเยาวมาลย์, 2528)
……………………………(Thunwa, eds.) กรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์
……………………………(Anonymous, 2004) กรณีไม่ทราบผู้แต่งชาวต่างประเทศ
……………………………(Fox and Vevers, 1960)
……………………………(Banday et al., 1992)
……………………………(Coon, 1971)
……………………(Coon, 1971 ; Fox and Vevers, 1960 ; Banday et al., 1992)
ตัวอย่างการเขียนอ้างอิงท้ายประโยค
การเขียนอ้างอิงแบบเชื่อมต่อ โดยใช้รูปแบบ ......................สอดคล้อง กับ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ.) หรือ ขัดแย้งกับ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ.) การเขียนอ้างอิงแบบเชื่อมต่อนี้ เป็นการผสมการเขียนอ้างอิงต้นประโยค และการเขียนอ้างอิงท้ายประโยค โดยรูปแบบการเชื่อมประโยค จะคล้ายกับรูปแบบการเขียนอ้างอิง ทั้ง ชื่อ และ พ.ศ. หรือ ค.ศ. ที่ตีพิมพ์
ตัวอย่าง
สุกัญญา (2539) พบว่า…………………….สอดคล้องกับรายงานของ Fox and vevers (1960) ที่เสนอว่า…………………………………………… แต่ขัดแข้งกับ Banday et al. (1992) โดยอธิบายว่า…………………………………………………………………………………………………………………………….
จากการศึกษาปัญหาดังกล่าว………………………………………………(Coon, 1971 ; Fox and Vevers, 1960 ; Bandan et al., 1992)
- อย่าขึ้นคำนำด้วยคำบอกเล่าอันเกินควร
- อย่าเอาประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีอยู่แล้วมาเป็นคำนำ
- อย่าอธิบายฟุ้งซ่านจนไม่มีจุดหมายของเรื่อง
ตัวอย่างคำนำ
คำนำ |
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ท ๕๐๔ ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ โดยมีจุดประสงค์ เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องลิลิตะเลงพ่าย ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จากตำราพิชัยสงคราม การจัดทัพ การตั้งทัพ การเคลื่อนทัพ กลศึกต่าง ๆ โหราศาสตร์ในการทำสงคราม ตลอดจนการประยุกต์ใช้ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการรบของพระองค์ เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้จัดทำได้เลือก หัวข้อนี้ในการทำรายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ รวมถึงเป็นการเทิดพระเกียรติวีรกษัตริย์ไทย และ ความฉลาดของบรรพบุรุษ ผู้จัดทำจะต้องขอขอบคุณ อ.พิทักษ์ อาจริยวัฒนกุล ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน |
ตัวอย่างคำนำ 2
คำนำ |
ศิลปะการบริหารเวลาเป็นการเสนอแนวคิดใหม่ในการจัดการกับเวลาเพื่อให้ได้งานมากอย่างมีประสิทธิภาพแต่ใช้เวลาจะได้เวลาอย่างพอเหมาะหรือน้อยกว่าแน่นอนคนเราทุกคนย่อมมีเวลาวันละ24ชั่วโมงเท่ากันหมดแต่สำหรับผู้ที่มีศิลปะในการบริหารเวลาจะได้งานที่มีประสิทธิภาพมากกว่า มีเวลาคิดสิ่งใหม่มากกว่ามีเวลาพักผ่อนมากกว่าและมีเวลาเป็นของตนเองมากกว่าคนที่ยังไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับเวลาของตนเอง สาเหตุที่เลือกอ่านเรื่องนี้เพราะว่าสามารถนำข้อคิดที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จะทำให้เราใช้เวลาที่เรามีอยู่ได้อย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับ ภาิษิตที่ว่า Time and tide wait for no man สายน้ำไม่คอยท่า วันเวลาไม่คอยใค |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น