วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ปรัชญาดอกไม้และเครื่องประกอบไหว้ครู

ปรัชญาดอกไม้และเครื่องประกอบไหว้ครู

http://www.xn--12cmi4ezadf2b7ag3eyb7jl1bf5fcg.com/images/tip/17/
เป็นสัญลักษณ์แทนความแหลมคมประดุจเข็ม  เปรียบดังสติปัญญาที่มีความเฉียบคมราวเข็ม  ประหนึ่งเป็นอาวุธที่จะใช้ป้องกันตนได้ในทุกโอกาส  ดังนั้น คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า  ถ้าใช้ดอกเข็มไหว้ครู  นอกจากมีสติปัญญาที่มีความเฉียบคมแล้ว  จะทำให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือนรสหวานของดอกเข็ม

http://frynn.com/wp-content/uploads/2014/05/
เป็นสัญลักษณ์แทนความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจ  เป็นคนซื่อสัตย์ อ่อนน้อมถ่อมตนของลูกศิษย์ที่มีต่อครู ดังเช่นลักษณะของดอกมะเขือที่โค้งลง  เหมือนเป็นการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน  ในขณะที่ดอกมะเขือดอกใดชี้ดอกขึ้นเหมือนดอกไม้ชนิดอื่น  ดอกนั้นจะไม่ให้ผล  เพราะจะเน่าร่วงหล่นไป  เหมือนบุคคลที่ขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน  ขาดความเคารพก็จะหมดโอกาสที่จะได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครู

http://s.exaidea.com/upload3/1/20140423/
เป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย  หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ  เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้  บุคคลนั้นก็จะเป็นเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก  แต่หากใครที่ทำตามใจตนเอง โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  บุคคลนั้นก็จะเป็นเหมือนข้าวเปลือกที่ถูกคั่ว  แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นข้าวตอก

http://www.biogang.net/upload_img/biodiversity/
เป็นสัญลักษณ์แทนความเจริญงอกงามอย่างรวดเร็ว  และความอดทน  เพราะแม้ต้องอยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง  หรือโดนเหยียบย่ำ  แต่หญ้าแพรกก็จะไม่ตาย  แต่ถ้าได้รับน้ำเมื่อใด  ก็จะเจริญงอกงามได้อีกครั้ง  เช่นเดียวกับลูกศิษย์  ที่เมื่อได้รับการอบรมสั่งสอนจากครู  ก็จะรับรู้และนำไปปฏิบัติให้เกิดผลดีต่อตนเองและสังคมต่อไป  ดังนั้น  คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า  ถ้าใช้หญ้าแพรก  ดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว  สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและดอกมะเขือนั่นเอง

คำนำ ตัวอย่างคำนำ การเขียนคำนำ คํานํารายงาน


คำนำ ตัวอย่างคำนำ การเขียนคำนำ คํานํารายงาน



คำนำ ตัวอย่างคำนำ การเขียนคำนำ คํานํารายงาน เป็นหน้าสำคัญที่แจ้งให้ผู้อ่านทราบวัตถุประสงค์ ความเป็นมาของหนังสือ แนวเนื้อหาสาระที่จะมีในเล่มเหตุผลในการแต่งแรงจูงใจ ระดับของผู้อ่าน การจัดลำดับของเรื่องราว ตัวอักษรย่อหรือลักษณะพิเศษของหนังสือและคำกล่าวขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้แต่ง ในการอ่านหนังสือควรเริ่มจากการอ่านคำนำก่อน ในหนังสือภาอังกฤษเรียกหน้านี้ว่า Prefaceหนังสือบางเล่มอาจมี คำนิยม ที่เขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ แนะนำผู้เขียนและยกย่องหนังสือ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถพิจารณาหนังสือนั้นเป็นเบื้องต้นอย่างถูกต้อง ในภาษาไทยมีการเรียก หน้าคำนำหลายคำ เช่น คำปรารภคำชี้แจง หรือคำแถลง เป็นต้น ในหนังสือภาษาอังกฤษ เรียกหน้าเหล่านี้ว่า Foreword หน้าคำนำเป็นหน้าที่ผู้อ่านไม่ควรเปิดผ่านเลยไป ควรอ่านอย่างละเอียดจะได้ประโยชน์ ช่วยในการพิจารณาเนื้อหาได้ตรงกับความต้องการ เป็นส่วนหนึ่งของการเขียนรายงาน วิทยานิพนธ์ บทความ และอีกหลายๆอย่าง โดยคำนำนั้น ก็มีหลักการในการเขียน เพื่อให้ถูกต้องตามหลักนิยม และเพื่อจะสามารถดึงดูดความสนใจแก่ผู้ที่จะอ่าน

หลักการ การเขียนคำนำ
หลักสำคัญของการเขียนคำนำ คำนำที่ดีจะทำให้คนอ่านติดตามเรื่องของเราโดยตลอด ถ้าคำนำไม่ดีเขาจะหยุดอ่านแต่ตอนต้น การเขียนคำนำให้ดีนั้นต้องมีอุบายหรือวิธีการชักชวน ให้ผู้อ่านอ่านเรียงความของเราให้จบ  ต้องสร้างความสนใจแก่ผู้อ่านให้มากที่สุด
  • เขียนคำนำโดยการอธิบายความหมายของเรื่อง 
  • เขียนคำนำด้วยคำพังเพยหรือสุภาษิตที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง 
  • เขียนคำนำด้วยคำถามหรือปัญหาที่สนใจ 
  • เขียนคำนำโดยขึ้นต้นด้วยคำกล่าวของบุคคลสำคัญ 
  • เขียนคำนำด้วยการเล่าเรื่อง 
  • เขียนคำนำด้วยการกล่าวถึงใจความสำคัญของเรื่องที่เขียน
  • เขียนคำนำด้วยการอธิบายชื่อเรื่อง 
  • เขียนคำนำด้วยคำกล่าวถึงจุดประสงค์ของเรื่องที่เขียน
  • การอ้างอิงเนื้อเรื่อง
คำนำที่ดีต้องเป็นความคิดใหม่ ความคิดแปลก หรือความคิดสนุก ต้องมีลักษณะนำ หรือเชิญชวนให้ผู้อ่าน อ่านเรื่องของเราให้จบให้ได้ คำนำจึงเป็นส่วนสำคัญในการเรียกร้องความสนใจของผู้อ่านตั้งแต่เริ่มต้นอ่าน เรื่อง และดึงดูดใจให้อ่านเรื่องไปตลอด

และสิ่งสำคัญ การอ้างอิงเนื้อเรื่อง หากมีผู้สนใจและอยากศึกษาเพิ่มเติมในเนื้อหาจะได้กลับไปตามจากแหล่งข้อมูล เป็นการบอกถึงแหล่งข้อมูลที่นำมาจากเอกสารฉบับไหน หนังสือ หรือ วารสาร และเอกสารตีพิมพ์เล่มใด เพื่อจะสะดวกในการตามศึกษาในเรื่องนั้นๆ

โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ข้อดังนี้
  1. การอ้างอิงในเนื้อเรื่อง
  2. การอ้างอิงนอกเนื้อเรื่อง (การเขียนเอกสารอ้างอิง)
การอ้างอิงในเนื้อเรื่องเมื่อตรวจกับอ้างอิงนอกเนื้อเรื่อง หรือการเขียนเอกสารอ้างอิง จะต้องพบ และบอกรายละเอียดครบ สามารถสืบค้นและติดตามได้ โดยการเขียนอ้างอิงในเนื้อเรื่องจะมี 2 ลักษณะ คือ

1. การเขียนอ้างอิงต้นประโยค 

จะใช้รูปแบบ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ.  พบว่า………………)  เช่น

ชัยพิดิช (2539) พบว่า............................................................................

ธันวา (มปพ.) กล่าวว่า.........(ในกรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์).....................................

นิรนาม (2547) แนะนำว่า.........(นิรนาม แทนชื่อกรณีไม่ทราบผู้แต่ง)......................................


สำหรับ ชื่ออาจจะมีทั้ง 2 คน 3 คน หรือมากกว่า ถ้ามากกว่า 3 คน ให้ใช้คำว่า และคณะ (….) ในภาษาอังกฤษใช้ et al. (….) โดยจะเอียงหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องเหมือนกันหมด ส่วนชื่อภาษาอังกฤษจะใช้สกุลมาอ้างอิง เช่น O. P. Thomas. 1982. เวลาเขียนอ้างอิงต้นประโยคให้อ้างอิงว่า Thomas (1982) เป็นต้น และ พ.ศ. หรือ ค.ศ. ที่ใช้จะต้องเป็นปีที่ตีพิมพ์ ส่วนประโยคต่อปีที่ตีพิมพ์ อาจใช้คำว่า พบว่า……, รายงานว่า……, กล่าวว่า…….., แสดงให้เห็นว่า………หรืออื่นๆ การอ้างแบบนี้รวมถึงข้อมูลจากเว็ปไซด์ด้วย

ตัวอย่าง 

สินชัย และนวลจันทร์ (2530) รายงานว่า.................................................................

สาโรช และคณะ (2521) อธิบายว่า........................................................................

อุทัย และคณะ (2533 ข) ; สาโรช และเยาวมาลย์ (2528) ศึกษาพบว่า...............................

Thunwa (eds.) กล่าวว่า………………..(ในกรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์).....................................

Anonymous (2004) แนะนำว่า……………(กรณีไม่ทราบผู้แต่งชาวต่างประเทศ)……………….

Fox and Vevers (1960) เสนอว่า......................................................................

Banday et al. (1992) เสนอแนะว่า......................................................................

Coon (1971) แสดงให้เห็นว่า...........................................................................

Coon (1971) ; Fox and Vevers (1960) ; Banday et al. (1992) ได้ศึกษาเปรียบ เทียบพบว่า..........................

หมายเหตุ : อุทัย และคณะ (2533 ข) คือ กรณี ชื่อ และ พ.ศ. ทั้งไทย และอังกฤษซ้ำจึงใช้อักษรกำกับรวมถึงการเขียนอ้างอิงนอกเนื้อหาด้วย


2. การเขียนอ้างอิงท้ายประโยค 
โดยใช้รูปแบบ (ชื่อ, พ.ศ. หรือ ค.ศ.)

โดยจะมีลักษณะการเขียนชื่อและพ.ศ. คล้ายการเขียนอ้างอิงต้นประโยค

ตัวอย่าง

………………………………………………(ธันวา, มปพ.) กรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์

………………………………………………(นิรนาม, 2547) กรณีไม่ทราบผู้แต่ง

………………………………………………(สุกัญญา, 2539)

………………………………………………(สินชัย และนวลจันทร์, 2530)

………………………………………………(สาโรช และคณะ, 2521)

……………………………(อุทัย และคณะ, 2533 ข ; สาโรช และเยาวมาลย์, 2528)

……………………………(Thunwa, eds.) กรณีไม่ทราบปีที่ตีพิมพ์

……………………………(Anonymous, 2004) กรณีไม่ทราบผู้แต่งชาวต่างประเทศ

……………………………(Fox and Vevers, 1960)

……………………………(Banday et al., 1992)

……………………………(Coon, 1971)

……………………(Coon, 1971 ; Fox and Vevers, 1960 ; Banday et al., 1992) 


ตัวอย่างการเขียนอ้างอิงท้ายประโยค 

การเขียนอ้างอิงแบบเชื่อมต่อ โดยใช้รูปแบบ ......................สอดคล้อง กับ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ.) หรือ ขัดแย้งกับ ชื่อ (พ.ศ. หรือ ค.ศ.) การเขียนอ้างอิงแบบเชื่อมต่อนี้ เป็นการผสมการเขียนอ้างอิงต้นประโยค และการเขียนอ้างอิงท้ายประโยค โดยรูปแบบการเชื่อมประโยค จะคล้ายกับรูปแบบการเขียนอ้างอิง ทั้ง ชื่อ และ พ.ศ. หรือ ค.ศ. ที่ตีพิมพ์

ตัวอย่าง

สุกัญญา (2539) พบว่า…………………….สอดคล้องกับรายงานของ Fox and vevers (1960) ที่เสนอว่า…………………………………………… แต่ขัดแข้งกับ Banday et al. (1992) โดยอธิบายว่า…………………………………………………………………………………………………………………………….

จากการศึกษาปัญหาดังกล่าว………………………………………………(Coon, 1971 ; Fox and Vevers, 1960 ; Bandan et al., 1992)


สิ่งสำคัญที่ควรเลี่ยงไม่ควรนำมามาเขียนในคำนำคือ
  1. อย่าขึ้นคำนำด้วยคำบอกเล่าอันเกินควร 
  2. อย่าเอาประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดีอยู่แล้วมาเป็นคำนำ
  3. อย่าอธิบายฟุ้งซ่านจนไม่มีจุดหมายของเรื่อง



ตัวอย่างคำนำ

คำนำ
          รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ท ๕๐๔ ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ โดยมีจุดประสงค์ เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องลิลิตะเลงพ่าย  ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จากตำราพิชัยสงคราม การจัดทัพ การตั้งทัพ การเคลื่อนทัพ กลศึกต่าง ๆ โหราศาสตร์ในการทำสงคราม ตลอดจนการประยุกต์ใช้ ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการรบของพระองค์ เพื่อสดุดีวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ผู้จัดทำได้เลือก หัวข้อนี้ในการทำรายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ รวมถึงเป็นการเทิดพระเกียรติวีรกษัตริย์ไทย และ ความฉลาดของบรรพบุรุษ ผู้จัดทำจะต้องขอขอบคุณ อ.พิทักษ์ อาจริยวัฒนกุล ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา  เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน



ตัวอย่างคำนำ 2
คำนำ
         ศิลปะการบริหารเวลาเป็นการเสนอแนวคิดใหม่ในการจัดการกับเวลาเพื่อให้ได้งานมากอย่างมีประสิทธิภาพแต่ใช้เวลาจะได้เวลาอย่างพอเหมาะหรือน้อยกว่าแน่นอนคนเราทุกคนย่อมมีเวลาวันละ24ชั่วโมงเท่ากันหมดแต่สำหรับผู้ที่มีศิลปะในการบริหารเวลาจะได้งานที่มีประสิทธิภาพมากกว่า มีเวลาคิดสิ่งใหม่มากกว่ามีเวลาพักผ่อนมากกว่าและมีเวลาเป็นของตนเองมากกว่าคนที่ยังไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับเวลาของตนเอง

        สาเหตุที่เลือกอ่านเรื่องนี้เพราะว่าสามารถนำข้อคิดที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้จะทำให้เราใช้เวลาที่เรามีอยู่ได้อย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับ ภาิษิตที่ว่า  Time and tide wait for no man สายน้ำไม่คอยท่า วันเวลาไม่คอยใค

การเรียงลำดับของรูปเล่มรายงาน

การเรียงลำดับของรูปเล่มรายงาน


การจัดรูปแบบการเขียนรายงาน เรียงลำดับตามนี้
  1. หน้าปก –> คลิ๊กอ่านรายละเอียด
  2. หน้ารองปก (กระดาษเปล่า)
  3. หน้าปกใน (รายละเอียดเหมือนหน้าปกแต่ใช้กระดาษสีขาว)
  4. คำนำ (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  5. สารบัญ (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  6. เนื้อเรื่อง (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  7. บรรณานุกรม หรือ เอกสารอ้างอิง (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  8. ภาคผนวก (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  9. รองปกหลัง (กระดาษเปล่า)
  10. หน้าปกหลัง

การจัดหน้ากระดาษ ใช้กระดาษ A4 โดยตั้งค่าหน้ากระดาษ ดังนี้ ครับ
  • ซ้าย ระยะห่างเท่ากับ 1.5 นิ้ว
  • ขวา ระยะห่างเท่ากับ 1 นิ้ว
  • บน ระยะห่างเท่ากับ 1.5 นิ้ว
  • ล่าง ระยะห่างเท่ากับ 1 นิ้ว

                   ตัวอย่างหน้าปกรายงาน มีรูปแบบดังนี้


ตัวอย่างหน้าปกรายงาน

ภาพตัวอย่างหน้าปกรายงาน



วิธีทำตัวอย่างหน้าปกรายงาน

วิธีการทำนั้นไม่ยากเลยครับ เพี้ยงเราแก้ตรง ข้อมูลส่วนตัวของเราไปแทนที่ได้เลย แต่บางครั้งรูปแบบของแต่ละโรงเรียนอาจไม่เหมือนกันนะครับ ถ้าอาจารย์สั่งรูปแบบของอาจารย์ เราก็เปลี่ยนตาม แต่ถ้าไม่ได้สั่งรูปแบบมาก็ยึดตามรูปแบบนี้ได้เลยครับ
ภาพด้านบนเป็น ตัวอย่างหน้าปกรายงานที่ผมทำขึ้น โดยเป็นตัวอย่างให้ดูคร่าวๆนะครับ เพื่อเป็นแนวทางในการทำ ยังไงก็ลองเอาไปปรับใช้กับรายงานได้ตามสะดวกเลยนะครับ



รูปแบบ การเขียนหน้าปกรายงาน

ชื่อเรื่อง
จัดทำโดย
ชื่อ นามสกุล ผู้ทำรายงาน
ชั้นประถมศึกษาปีที่  xx  เลขที่ xx
เสนอ
อาจารย์xxx xxx
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา xxxxxx
ชื่อโรงเรียนภาคเรียนที่ xx ปีการศึกษา xxxx



ตัวอย่างคำนำรายงาน

รายงานเล่มนี้่่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา…….ชั้น…เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้
ในเรื่่อง……..และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า  รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลัง
หาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา
ณ ที่นี้ด้วย

                                                                                                      ผู้จัดทำ
                                                                                                  วันที่ ...........


การเขียนคำนำรายงาน

มีวิธีการเขียน ดังนี้
การเขียนคำนำรายงานนั้นในส่วนของย่อหน้าแรกเราควรเขียนเพื่อเกริ่นเนื้อเรื่องไปก่อนโดย
ยังไม่เข้าเนื้อเรื่อง แต่ควรพยายามพูดชักจูงให้ผู้อ่านสนใจ หรือพูดที่มาที่ไป ก่อน เพื่อให้
ผู้อ่านอยากติดตามต่อ
ส่วนต่อมาควรกล่าวเริ่มเข้าเนื้อเรื่องของเราว่าเราจะทำรายงานเกี่ยวกับอะไร และมี
เรื่องอะไรบ้าง หรือพูดถึงเฉพาะเรื่องสำคัญๆ ก็ได้ และตอนสุดท้ายก็ปิดท้ายว่าทำเพื่ออะไร
เพื่อประโยชน์กับใคร ที่จะได้มาอ่านบทความนี้
และก็อาจกล่าวขอบคุณอาจารย์ผู้สอนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายงาน และปิดท้ายด้วย
การขอรับข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อให้รายงานดีขึ้น

ลักษณะของการเขียนคำนำรายงานที่ดี ตามหลักของ ราชบัณฑิต บอกไว้ว่า
1. เขียนด้วยคำพังเพย หรือสุภาษิตที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
2. เขียนอธิบายความหมายของเรื่อง
3. เขียนโดยขึ้นต้นด้วยคำกล่าวของบุคคลสำคัญ
4. เขียนด้วยการเล่าเรื่อง
5. เขียนด้วยคำถามหรือปัญหาที่สนใจ
6. เขียนด้วยการอธิบายชื่่อเรื่อง
7. เขียนคำนำด้วยคำกล่าวถึงจุดประสงค์ของเรื่องที่เขียน
8. เขียนด้วยการกล่าวถึงใจความสำคัญของเรื่องที่เขียน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านนะครับ


ตัวอย่างบรรณานุกรม
ตัวอย่างบรรณานุกรม


รูปแบบการเขียนบรรณานุกรม

ชื่่อ-นามสกุลผู้แต่ง.  (ปีที่พิมพ์).  ชื่อหนังสือ.  เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์.


ขั้นตอน ใส่เลขหน้า word 2007 มีดังนี้

1. ไปที่เมนู แทรก
2. ไปที่หมายเลขหน้า
3. เลือกว่าจะไว้ด้านไหนได้เลยครับ ตามรูป
4. เรียบร้อยแล้วครับ                           


การตั้งค่าหน้ากระดาษ 

วิธีทำจะมีขั้นตอน ดังนี้
1.มาที่แถบเค้าโครงหน้ากระดาษ
2.เลือกระยะขอบ
3.ระยะของแบบกำหนดเอง
4.แก้ช่อง บน ล่าง ซ้าย ขวา
5.ตกลง เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ


วิธีแก้ ก๊อป(copy) ข้อความจาก web แล้วติดพื้นหลังสีดำ
1 .ครอบดำรายงาน (กด ctrl + A) ที่พื้นหลังเป็นสีดำ
แก้ก๊อบภาพพื้นหลังดำ1
แก้ก๊อบภาพพื้นหลังดำ1
2. เลือก การแรเงา(ภาพถังเทสี )คลิกตรงสามเหลี่ยมคว่ำนะครับ แล้วจะมีหน้าต่างสีชุดของรูปแบบแสดงออกมา
แล้วกดเลือกไม่มีสี
copyภาพจากเนตแล้วดำ
copyภาพจากเนตแล้วดำ
3.พื้นหลังสีดำจะหายไปแล้วนะครับ
แก้ก๊อบพื้นหลังสีดำ
แก้รายงานสำเร็จ











สงครามโลกครั้งที่ 1

สงครามโลกครั้งที่ 1



คือ สงครามแห่งความขัดแย้งระดับโลกที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ.1914 ถึงค.ศ.1918 ระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่1
1.ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
2.การเกิดลัทธิจักรวรรดินิยม  ชาติมหาอำนาจในยุโรปได้ขยายอำนาจและอิทธิพลออกไปสู่ดินแดนนอกทวีป
3. การเกิดลัทธิชาตินิยม   เป็นความรู้สึกรักและภูมิใจในชาติของตนอย่างรุ่นแรง
 4.ปรารถนาจะเห็นชาติของตนมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือชนชาติอื่น  โดยการสร้างกองทัพให้เข้มแข็งรุกรานชนชาติอื่น
ภาพบุคคลสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
bbb
โฉมหน้าของบิสมาร์ค แห่งเยอรมัน
การรวมกลุ่มของยุโรปก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 
tip
ฝ่ายไตรภาคี  Triple Alliance
ประกอบด้วย เยอรมัน ออสเตรเลีย-ฮังการี และอิตาลี
หมายเหตุ ก่อนการจัดตั้งเป็น Triple Alliance ได้มีการรวมกลุ่ม ชื่อว่า Triple Emperor (สัญญาสันนิบาตสามจักรพรรดิ) ประกอบด้วย เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย
ฝ่ายไตรพันธมิตร Triple Entente
ปประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
รูปภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะปะทุ
jko
ชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1
การลอบปลงพระชนม์เจ้าชายฟรานซิส  เฟอร์ดินานด์ องค์รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย- ฮังการี ขณะเสด็จประพาสนครหลวงแคว้นบอสเนีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914
fsn
ลำดับเหตุการณ์การเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
-ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามกับ เซอร์เบีย (เข้ากับพวกสลาฟ)
-รุสเซียและฝรั่งเศสเข้าช่วยเหลือเซอร์เบีย
-เยอรมันเข้าช่วยเหลือออสเตรีย-ฮังการี
-เยอรมันบุกผ่านเบลเยี่ยมเพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศส
-แต่เบลเยี่ยมได้รับความเป็นกลางจากอังกฤษ
-ดังนั้นอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมัน
-อังกฤษและฝรั่งเศสจึงประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี
การแบ่งฝ่ายในสงครามโลกครั้งที่ 1  (อาศัยผลประโยชน์เป็นสำคัญ)
ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
•ออสเตรีย-ฮังการี  
• เยอรมัน
• ตุรกี             
• บัลกาเรีย
ฝ่ายสัมพันธมิตร
เซียร์เบีย  รุสเซีย (รัสเซีย)   ฝรั่งเศส อังกฤษ ญี่ปุ่น อิตาลี โปรตุเกต โรมาเนีย  ไทย    จีน     สหรัฐอเมริกา
อาวุธที่ใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
rostung
รถถังเอ 7 วี น้ำหนัก 30 ตัน ใช้รีเวท ยิงตลอดคันแผ่นเหล็กที่ใช้ทำเกราะขนาด 20 ถึง 50 ม.ม. โดยเฉพาะด้านหน้าใช้ 50 ม.ม. ใช้เครื่องยนต์ของเดมเลอร์ 4 สูบ 100 แรงม้า2 เครื่อง ให้ความเร็ว 9 ก.ม./ช.ม. ความจุถังเชื้อเพลิงขนาด 500 ลิตร พลขับและผ.บ.รถขึ้นไปอยู่บนป้อมที่หมุนไม่ได้ อาวุธหลักใช้ปืน 57 ม.ม. และปืนกลเอ็มจี -15  ขนาด 7.9 ม.ม.อีก 6 กระบอก
Gun
                         ปืนกลหนัก Vickers หล่อเย็นลำกล้องด้วยน้ำที่อยู่ในท่อรอบๆลำกล้องนั่นแหละครับ ยิงไปมากๆน้ำ     ระเหยออกหมด บางที่ต้องฉี่ใส่แทนน้ำก็มีไ ม่งั้นลำกล้องขยายตัวมากจนกระสุนหล่นอยู่แค่ 5-6 เมตร      แถวปากลำกล้อง
gun teo
  Vickers ปืนกลที่มีระบบระบายความร้อนลำกล้องด้วยน้ำ
kk
                             
มันเฟรด ฟอน ริชโทเฟน เป็นนักบินเครื่องบินรบของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เจ้าของฉายา เรดบารอน (Red Baron) ได้รับการบันทึกสถิติอย่างเป็นทางการว่าสามารถยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามตกถึง 80 ลำ และยังมีข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ว่าอาจจะถึง 100 ลำ
ship       Hood Class Battle Ship : Great Britain
        
          
สนามเพลาะในสงครามโลกครั้งที่ 1
zxc                    zxcv
สนามเพลาะ คือแนวตั้งรับในการทำสงคราม ด้วยการขุดหลุมเพลาะเป็นแนวยาวเหยียดหลายแนวสลับซับซ้อนกัน ไป ด้านหน้าทำการสร้างลวดหนามไว้ต้านทานทหารของฝ่ายข้าศึก ทหารจะอาศัยอยู่ในรูที่ ขุดเข้าไปใต้ดินเพื่อหลบลูกกระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกและใช้หลับนอนอยู่อาศัย พอข้าศึกบุก ก็จะเข้าไปประจำในสนามเพลาะทำการยิงปืนยาวสกัดข้าศึกที่ดาหน้าฝ่าแนวลวดหนาม เข้ามารวมทั้งใช้ปืนกลและปืนใหญ่ของฝ่ายเดียวกันช่วยยิงสกัดข้าศึกด้วย พอจะทำการรุกทหารก็จะขึ้นจากสนามเพลาะของตนวิ่งข้ามเขตปลอดคน(No man land)
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศคู่สงครามทั้ง 2 ฝ่าย
2. ประเทศผู้แพ้สงครามถูกบังคับให้ทำสนธิสัญญา ได้แก่
  สนธิสัญญาแวร์ซายส์  ทำกับประเทศเยอรมัน
  สนธิสัญญาตรีอานอง  ทำกับประเทศฮังการี
  สนธิสัญญาเนยยี  ทำกับประเทศบัลแกเรีย
  สนธิสัญญาแซงต์แยร์แมง  ทำกับประเทศออสเตรีย
  สนธิสัญญาแซฟส์  ทำกับประเทศตุรกี
3.มีคำแถลงการณ์ 14 ประการของประธานาธิบดีวูดโรล์ วิลสัน นำไปสู่การตั้งองค์การสันนิบาตชาติ (อเมริกาไม่เข้าร่วม/และไม่มีกำลังทหาร)    
4 ตุลาคม ค.ศ. 1918 เยอรมนีได้ส่งคำร้องขอยุติสงครามไปยัง วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐในขณะนั้น วูดโรว์ วิลสัน ได้ยื่นเงื่อนไขในการยุติสงคราม 
14 ข้อ โดยไม่ได้ปรึกษากับฝ่ายพันธมิตร
  1. ห้ามทำสนธิสัญญาลับระหว่างประเทศ
  2. เสรีภาพทางท้องทะเลแม้ในยามสงคราม
  3. การค้าเสรีระหว่างประเทศ
  4. การลดอาวุธ
  5. แก้ไขการอ้างสิทธิอาณานิคม
  6. เยอรมนีต้องถอนตัวออกจากดินแดนของรัสเซีย
  7. อิสรภาพของเบลเยี่ยม
  8. ต้องคืนแคว้นอัลซัค – ลอร์เรนให้ฝรั่งเศส
  9. ต้องปรับพรมแดนของอิตาลี
 10. ให้โอกาสปกครองตนเอง แก่จักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี
  11. ต้องฟื้นฟูรัฐบอลข่าน และเซอร์เบียต้องมีทางออกทะเล
 12. ประชากรที่ไม่ใช่ชาวเติร์กในจักรวรรดิตุรกีต้องเป็นอิสระ
  13. สร้างโปแลนด์ขึ้นใหม่
  14. ต้องจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ
สนธิสัญญาแวร์ซายส์
(สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมนี)
va
4.เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกได้รับความเสียหายจากสงคราม
5. ทำให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของยุโรป ได้ล้มสลายลง เช่น จักรวรรดิรัสเซีย  จักรวรรดิเยอรมัน  จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมันต้องล่มสลายลง
6.เกิดประเทศใหม่ในยุโรป เช่น เชคโกสโลวาเกียและยูโกสลาเวียแยกออกจากรัสเซีย ออสเตรีย  ฮังการี  ถูกแยกออกจากกัน   โปแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย แยกเป็นประเทศใหม่
ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 1
เหตุผลที่ไทยต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่1 ตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ ๖ โดยไทยต้องเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะต้องการแก้ไขความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาเบาร์ริ่งสมัยรัชกาลที่ ๔
ผลของการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1ของประเทศไทย
ไทยเข้าร่วมสงคราม อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร  
-ได้รับการยกเลิกสนธิสัญญาบาวริ่ง จากการช่วยเหลือขอ ดร.ฟรานซิส บี แซร์ (พระยากัลยาณไมตรี)
-ไทยได้รับเงินค่าปฏิกรรมสงครามมาจำนวน 2,000,000 บาท
-ไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสันนิบาต
อนุสาวรีย์ทหารอาสา
tahan 
  สถานที่สำหรับบรรจุอัฐทหารอาสาซึ่งเสียชีวิตระหว่างการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ฝรั่งเศส
ตั้งอยู่ที่ถนนสามเหลี่ยมตรงมุมสนามหลวงด้านทิศเหนือ ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
วงเวียน 22 กรกฎาคม
vongwaing
        
สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวันที่รัชกาลที่ 6 ทรงตัดสินพระทัยนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2460 โดยประกาศสงครามกับกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ ส่งผลให้เมื่อสิ้นสุดสงคราม ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ และการทหาร รวมทั้งสามารถเรียกร้องแก้ไขและยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ของชาติมหาอำนาจที่เคยทำไว้กับประเทศไทย